วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

AIDs

เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรค ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ติดเชื้อโรคอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ ทำให้เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต


    เอดส์ติดต่อกันโดย :
1.ข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา ประมาณร้อยละ 84 ของผู้ป่วยเอดส์ ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์

2. ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ มักพบในกลุ่มผู้ฉีดยาเสพติด

3. ติดเชื้อทางเลือดโดยการรับเลือดของผู้ที่มีเชื้อ ในปัจจุบันเลือดที่ได้รับบริจาคทุกขวด ต้องผ่านการตรวจหาการติดเชื้อเอดส์ และจะปลอดภัยเกือบ 100%

4. ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์ หากตั้งครรภ์ และไม่ได้รับการดูแลอย่างดี เชื้อHIVแพร่ไปยังลูกได้ ในอัตราร้อยละ 30 จากกรณีเกิดจากแม่ติดเชื้อ จึงมีโอกาสที่จะรับเชื้อHIVจากแม่ได้

    อาการของเอดส์ มี 2 ระยะ

1. ระยะไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อจะมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะี้นี้ และบางคนไม่ทราบว่า ตัวเองติดเชื้อ จึงอาจแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้

2. ระยะมีอาการ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะเริ่มแสดงอาการ ภายหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 7-8 ปี แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
  2.1 ระยะเริ่มปรากฎอาการ อาการที่พบคือ มีเชื้อราในปาก ต่อมน้ำเหลืองโต งูสวัด มีไข้
        ท้องเสีย น้ำหนักลด มีตุ่มคันบริเวณผิวหนัง
  2.2 ระยะโรคเอดส์ เป็นระยะที่มีภูมิต้านทานลดลงมาก ทำให้ติดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น
        เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
 
     การป้องกันตัวเองจากโรคเอดส์

1.ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งหากคิดจะมีเพศสัมพันธ์

2.ไม่ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนไม่ดื่มเหล้าและไม่ใช้สารเสพติด อันจะทำให้ขาดสติในการยับยั้งชั่งใจ และการป้องกันตัวเองจากโรคภัยต่างๆ

3.ตรวจเลือดและขอรับบริการปรึกษาเรื่องโรคเอดส์ก่อนแต่งงานและก่อนที่คิดจะมีบุตร

     การตรวจเชื้อเอดส์

ทำได้โดยการตรวจเลือด โดยควรตรวจภายหลังจากมีพฤติกรรมเสี่ยง 6 สัปดาห์ขึ้นไป

    ขณะนี้ยังไม่มียารักษาโรคเอดส์ให้หายได้ ยาที่ใช้ปัจจุบันจะช่วยยับยั้ง ไม่ให้ไวรัสเอดส์เพิ่มจำนวนมากขึ้น ในร่างกายผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยเอดส์จะมีสุขภาพแข็งแรง สามารถทำงานได้ตามปกติ โดยในปัจจุบันโรคเอดส์มีการตรวจพบทั่วโลก และประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตเนื่องจากโรคเอดส์ อย่างน้อย 25 ล้านคน ตั้งแต่ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) นับเป็นโรคที่มีอันตรายสูงโรคหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ ในปี พ.ศ. 2548 ประมาณการว่ามีผู้ติดโรคเอดส์ประมาณ 3.1 ล้านคน(ระหว่าง 2.8 - 3.6 ล้าน) ซึ่ง 570,000 คนของผู้ป่วยโรคเอดส์เป็นเด็ก คน โดยภูมิภาคที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงที่สุดอยู่ในเอเชียตะวันออก เอเชียกลางและยุโรปตะวันออก หรืออาจระบุได้ว่า ในทุกๆ 8 วินาที จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ เท่ากับทุกวันจะมีผู้ติดเชื้อประมาณ 11,000 คน และมีผู้ติดเชื้อเสียชีวิตอีก 8,000 คน สาเหตุหลักของการแพร่กระจายมาจากการเสพยา และการมีเพศสัมพันธ์อย่างไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ จากสถิติของยูเอ็นเอดส์ยังพบว่า แถบซับ ซาฮาร่า ในทวีปแอฟริกายังคงเป็นพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด 24.7 ล้านคน และปีนี้ยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงเป็นประวัติการณ์ 2.8 ล้านคน

   อย่างไรก็ตาม การระบาดที่สร้างความวิตกกังวลให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็คือการกลบมาระบาดของโรคเอดส์ในประเทศที่เคยประสบความสำเร็จในการควบคุมและป้องกัน เช่น ประเทศไทยและยูกันดา ส่วนในกรณีของแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อถึง 5.5 ล้านคนและบางคนยังไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อนั้น ยูเอ็นเอดส์เห็นถึงแนวโน้มความคืบหน้าของการควบคุมและป้องกันโรคเอดส์ หลังรัฐบาลแอฟริกาใต้ให้คำมั่นที่จะดำเนินการมากขึ้นเพื่อต่อต้านโรคร้ายแรงนี้ รวมถึงการใช้ยาต้านไวรัส ซึ่งก่อนหน้านี้ รัฐบาลแอฟริกาใต้เคยมีความเคลือบแคลงไม่เชื่อถือในการใช้ยาดังกล่าว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้โรคเอดส์ระบาดหนัก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น